บ่วงรัดคอ
ถาม–ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “บ่วง”
เหตุเพราะในใจยังแก้อวิชชาไม่หมด ทำให้มีความรักในตัวบุตรที่เกิดมามากจนเกิดความห่วงหาอาลัย เกิดเป็นบ่วงร้อยรัดผูกพันจนสนิทแนบแน่นไม่อาจปลดปล่อยได้ ทำอย่างไรจึงจะปลดบ่วงพันธนาการนี้ได้คะ
ตอบ : นี่คำถามเนาะ ถ้าคำถามนะ คำถามเป็นความทุกข์ของส่วนบุคคล ความทุกข์แต่ละบุคคลไง ถ้าเป็นความทุกข์แต่ละบุคคลนะ เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมดานะ มันเรื่องสัญชาตญาณ เป็นเรื่องสัจจะความจริงไง โดยความเป็นมนุษย์ๆ สิ่งที่ว่าแม่รักลูกเป็นเรื่องธรรมดา นี่ไง ลูกกตัญญูกับพ่อแม่มันเป็นเรื่องธรรมดา
อย่างเช่นสัตว์ สัตว์มันก็รักลูกของมันนะ แต่สัตว์เวลารักลูกของมัน อย่างเช่นเสือ อย่างเช่นพวกสิงโต สัตว์นักล่า โอ้โฮ! มันรักลูกของมัน มันปกป้องลูกของมัน ดูแลลูกของมันนะ แต่ถึงเวลาพอลูกมันโตแล้ว ฝึกจนเลี้ยงตัวเองได้ มันขับออกไปเลย มันขับลูกออกไปให้ไปหาเขตแดนของตน ขับลูกของตนให้เลี้ยงตัวเอง นี่พูดถึงธรรมชาติของสัตว์
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นคนๆ ไง เราเป็นคน นี่บอกว่า “เพราะแก้อวิชชาไม่ได้”
ถ้าแก้อวิชชาได้มันเป็นพระอรหันต์ ถ้าแก้อวิชชาได้หมดไปมันเป็นพระอรหันต์นะ พอความเป็นพระอรหันต์ ความเป็นพระอรหันต์มีสติอัตโนมัติรู้ตัวตลอดเวลา
ความคิด เวลาหลวงตาท่านพูดถึงว่าความคิดของท่านๆ ท่านบอกเวลาจะคิดนะ เหมือนกับเราไปแบกหามท่อนไม้
คนที่จะแบกหามท่อนไม้มันต้องยกท่อนไม้ใส่บ่าของตนนะ มันถึงจะแบกหามท่อนไม้นั้นได้ นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราจะคิด เราจะคิดขึ้นมา แล้วอยู่ดีๆ เอ็งจะไปแบกหามท่อนไม้ทำไม
นี่พูดถึงว่าคนที่แก้อวิชชาได้หมดจด
เวลาตัวเองจะคิดเรื่องสิ่งใด เวลาจะทำสิ่งใด มันรู้เท่าทันตัวเองทั้งสิ้น เพราะอะไร เพราะสอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังดำรงชีพอยู่ เพราะมันมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕
พอมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เพราะเราเป็นสิ่งมีชีวิต เกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์โดยธรรมชาติมันมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แล้วก็มีจิต จิตตัวนี้มีอวิชชา เพราะจิตมีอวิชชา อวิชชามันปิดบังหัวใจไว้ ปิดบังหัวใจไว้มันก็เป็นพญามาร เป็นยอดปราสาทของกิเลส เวลามันขับเคลื่อนออกไปคือความคิดมันขับเคลื่อนออกไป ขับเคลื่อนออกไปด้วยมาร ด้วยมาร เห็นไหม
เพราะคนเรามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ พระอรหันต์ก็มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แต่พระอรหันต์เวลามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์นี้เป็นภาระ เป็นหน้าที่ เป็นการดูแลรักษา เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แต่ไม่มีอวิชชา ไม่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลาโดยปกติไม่คิดก็ได้ แต่ถ้าจะคิดๆ มันเหมือนขยับ การขยับ เราคนคนหนึ่งจะเข้าไปแบกหามท่อนซุง ท่อนซุงมันหนัก มันรู้ตัวตลอดเวลาไง
แต่ปุถุชนคนหนา เวลาปุถุชนคนหนา สิ่งที่ว่าขันธ์นี้เป็นขันธมาร จิตของเราโดนมารครอบงำอยู่ เวลามันคิดขึ้นมาก็คิดด้วยมาร มันคิดด้วยมาร คิดด้วยกิเลส คิดด้วยตัณหา คิดด้วยความทะยานอยาก คิดด้วยความทุกข์ความยาก นี่ปุถุชนไง เพราะเหตุนี้เราถึงมาฝึกหัดของเรา ถ้าเราฝึกหัดของเรา เราฝึกหัดของเราได้มันก็เป็นประโยชน์กับเรา
แต่ถ้าเราฝึกหัดเราไม่ได้ เพราะยังแก้อวิชชาไม่หมด เพราะยังแก้อวิชชาในใจของตนไม่หมด เราจะบอกว่า อย่าไปโทษตรงนั้น ถ้าไปโทษตรงนั้น ไปโทษอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ พอไปโทษตรงนั้น เหมือนกับหาแพะไง
คนเราคนหนึ่งจะเป็นคนดีหรือคนเลว คนดีหรือคนเลวมันก็เริ่มต้นจากปัจจุบันของเรานี้ ถ้าเริ่มต้นจากปัจจุบันของเรานี้ เราก็คิดของเรา เราก็แก้ไขของเรา เราก็พัฒนาของเราขึ้นไป
ถ้าเราบอกว่า ตอนนี้มันก็บอกว่า ไอ้ที่ความเป็นพญามาร เป็นกิเลส นั่นเป็นอวิชชา แต่ฉัน ฉันจะรักลูกของฉัน ฉันจะใช้ชีวิตของฉันตามความพอใจของฉัน
ไม่ใช่ อวิชชาคือพญามาร มันมีพ่อมีแม่มีลูก มีลูกเต้ามันเต็มไปหมดในหัวใจของเรา ถ้ามันมีลูกมีเต้าเต็มไปหมดในหัวใจของเรา สิ่งที่ว่าไอ้เรื่องความรัก ความรักบุตร ความรักลูกมันเรื่องธรรมดา
แต่ว่าพอธรรมดาแล้ว ความรักก็เป็นเรื่องธรรมดา สัญชาตญาณของสัตว์มันก็รักลูกของมัน พอรักลูกของมันขึ้นมาแล้ว ตัณหาความทะยานอยากมันก็เอามาเป็นเชื้อ แล้วมันก็บิดเบือนมันไป บิดเบือนไป
เพราะเราก็รู้ไง ถ้าเปรียบเทียบธรรมะแล้วเราก็รู้ เขาว่า ในเมื่อรักเกินไปมันก็เลยกลายเป็นบ่วงผูกพันแนบสนิทจนปล่อยวางไม่ได้
นี่เราก็รู้ เราก็รู้ๆ อยู่ทั้งนั้น ถ้าเรารู้แล้ว รักเราก็คือรักเป็นเรื่องธรรมดา แล้วเวลาเขาเติบโตขึ้นมานะ ลูกของเราทุกคน ถ้าโดยธรรมชาติของมนุษย์เขาก็ต้องมีครอบครัวของเขา เขามีสิทธิเสรีภาพในชีวิตของเขา เราเป็นผู้ที่ยืนมองแล้วส่งเสริมเขา แล้วเราพอใจของเราเท่านั้นเอง เรามีความสุขต่อเมื่อลูกของเราเป็นฝั่งเป็นฝา มีครอบครัวไปนะ นี่มันเป็นเรื่องสัจจะ เป็นเรื่องธรรมดา
แต่ถ้าเขามีสติมีปัญญาของเขา เขาจะไม่เอาทุกข์เอาโทษมาถมจิตใจของเขา เขาจะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ อันนั้นก็เป็นสิทธิเสรีภาพของเขา นี่มันเป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละบุคคล แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่มันก็เรื่องธรรมดา มันเรื่องธรรมดาไง
ทีนี้ไอ้อย่างที่ว่าคำถามนี้มันบอก เพราะใจยังแก้อวิชชาไม่ได้ เพราะใจยังแก้อวิชชาไม่หมดมันถึงเป็นอย่างนี้
ถ้ามันเป็นอย่างนี้เราก็รู้ เราก็เข้าใจนะ แก้อวิชชาไม่ได้ ถ้าอวิชชามันรู้ถึงตัวเราเลยล่ะ รู้ถึงว่าเรานี้เกิดมาจากไหน คือว่าก่อนที่เราจะมาเกิดนี้เรามาจากไหนมันถึงมาเกิดเป็นเรา แล้วเกิดเป็นเรา เรามีสติปัญญาของเราแก้ไขของเรา
ภวาสวะ ภพ สถานที่ตั้งแห่งความคิด สถานที่ตั้งแห่งชีวิต สถานที่ตั้งที่กำเนิด ถ้ามันเข้าไปแล้วทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายชาติ ทำลายทั้งหมด นี่คือไปแก้อวิชชา ถ้าแก้อวิชชาจบแล้ว จบ กิเลสไม่มีที่อยู่ สรรพสิ่งในนี้ไม่มีที่อยู่ ของเป็นอากาศธาตุ ไม่มีสิ่งใดอยู่บนอากาศธาตุนั้นได้เลย
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายตัวตน ทำลายทุกอย่างหมดแล้ว มันไม่มีอะไรเกิดได้จากตรงนั้นเลย
ไม่มีอะไรเกิดได้จากตรงนั้น ๔๕ ปีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการอยู่นั่นคืออะไร มันไม่มีแล้วพูดออกมาจากไหน มันไม่มีแล้วมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
โธ่! ต้องตั้งสถาบันวิจัยมาวิจัยกันต่อไป ต้องหาพระอรหันต์ก่อน แล้วเอาพระอรหันต์มาวิจัย
พระอรหันต์เขาไม่มาวุ่นวายเรื่องอย่างนี้หรอก เพราะอะไร เพราะว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้จำเพาะจิตดวงนั้น แล้วคนอื่นจะรู้ด้วยไม่ได้ คนอื่นรู้ด้วยไม่ได้
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ แต่ผู้ที่เข้ามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาปุถุชนคนหนาทั้งสิ้น เวลาปุถุชนคนหนาทั้งสิ้นมันก็เริ่มต้นจากบาทจากฐานขึ้นมา
เริ่มต้นจากบาทจากฐานขึ้นมา ไปวัดไปวาถือศีล ๘ ถือศีล ๘ เสร็จแล้วเวลาอยากจะประพฤติปฏิบัติ แล้วเวลาอยากประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติไปแล้วถ้ามันมีสติปัญญาของมันขึ้นมา มันจะแก้ไขของมันขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ถ้าเป็นชั้นเป็นตอน นั่นน่ะการปฏิบัติธรรม
อวิชชามันยังอยู่ไกล อวิชชามันอยู่ไกลมาก มันละเอียดลึกซึ้งอยู่ในหัวใจของเรา แล้วถ้าเราไปพูดอย่างนั้น มันเหมือนกับภาษาเรา ความรู้สึกของเรานะ ถ้าพูดอย่างนี้ก็หาแพะ อะไรไม่ดีก็โยนให้อวิชชา โยนให้อวิชชาเลย เพราะเราไม่รู้ แต่เวลามันทุกข์มันยากอยู่นี่เราทุกข์เรายากของเรา
ถ้าเราทุกข์เรายากของเรา อวิชชาคือความไม่รู้ นั้นเป็นต้นเหตุ แต่เรื่องชีวิตของเรา เรื่องบุตรของเรา เรื่องความเป็นอยู่ของเรานี่เรารู้ เรารู้ เราแก้ไขตรงนี้ ถ้าเราแก้ไขตรงนี้มันก็จบ แก้ไขตรงนี้ เวลาแก้ไขตรงนี้ขึ้นมา เราก็แก้ไขโดยสัจจะโดยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด” ชีวิตนี้มีการกระทำ เราทำคุณงามความดีของเราถึงที่สุด
แล้วถ้าสิ่งที่เป็นชีวิตการครองเรือน ชีวิตการครองเรือนมันก็เรื่องปกติไง ถ้าชีวิตการครองเรือน ในโลกนี้เขาว่ากามคุณ ๕
กามคุณ ๕ กามที่เป็นคุณๆ กามที่เป็นคุณคือมันอยู่ในศีลในธรรม กามที่เป็นโทษ ถ้าผิดศีลผิดธรรมขึ้นมาก็ฆ่ากัน ลักกัน ขโมยกัน ทำร้ายกัน นี่ฆราวาสธรรม ธรรมของฆราวาส ธรรมของผู้ครองเรือน
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การครองเรือนเหมือนกับวิดทะเลทั้งทะเลเลย เอาปลาตัวเดียว
คือมันมีความทุกข์ความยากมากกว่า มันมีความแบกหาม มีความเจ็บช้ำน้ำใจมากกว่า แต่ความสุขๆ ความสุขก็ความพอใจไง ความสุขนิดหนึ่ง แต่ความทุกข์มหาศาล ถ้าเราต้องการอย่างนั้น เราก็ใช้ชีวิตแบบนั้น ถ้าใช้ชีวิตแบบนั้น กามคุณ ๕
ถ้ากามคุณ ๕ เพราะมันเป็นเรื่องของสายพันธุ์ไง สายพันธุ์มันจะสูญสิ้นไป เดี๋ยวมันจะสูญพันธุ์ มันก็มีเรื่องกามราคะ เรื่องปฏิฆะ เรื่องต่างๆ อยู่กับโลกนี้ สายพันธุ์มันจะได้สืบต่อไป มันไม่สูญพันธุ์ นี่กามคุณ ๕
แต่ถ้ามันไม่ใช่กามคุณ ไม่อยู่ในศีลในธรรม มันไม่สูญพันธุ์หรอก มันฆ่ากันตั้งแต่มันมีการขัดแย้งกัน มีการขัดแย้ง มีการแย่งชิง มีการกระทำต่างๆ ร้อยแปด
ฉะนั้น ในการครองเรือน การครองเรือนบางครอบครัวจะมีความสุขความสงบในเรือนของตนเพราะเขามีศีลมีธรรม ถ้าบางครอบครัวขึ้นมาขาดศีลขาดธรรมขึ้นมามันจะมีความทุกข์ความยาก มีแต่การแสวงหา มีแต่การช่วงชิงกัน นี่พูดถึงว่าการครองเรือน
ทีนี้การครองเรือนมันก็เป็นการครองเรือน ทีนี้การครองเรือนแล้วมันก็เรื่องธรรมดา การครองเรือนมันต้องมีบุตรเป็นเรื่องธรรมดา พอเป็นเรื่องธรรมดา มันดีนะ มันเป็นเรื่องครอบครัวที่ดีงาม ครอบครัวอื่นเขาก็ดูแลรักษาลูกหลานของเขา ทีนี้ลูกหลานของเขาดูแลกันไป
ถ้าดูแลกันไปนะ มันอภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่ เวลาบุตรที่มีเวรมีกรรมต่อกันมาล้างมาผลาญกัน มันมีเยอะมีแยะไปหมดล่ะ
ในสังคมโลกนี้กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไอ้ที่ผลเวลาอดีตชาตินั่นเป็นเรื่องหนึ่งนะ ตอนนั้นเราไม่ไปสนใจตรงนั้น เราสนใจในชาติปัจจุบันนี้
ในชาติปัจจุบันมันเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน กตัญญูกตเวที เครื่องหมายของคนดี ในครอบครัวของตนก็ส่งเสริมกัน แต่ไอ้เรื่องความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่างกันนั่นมันเป็นจริตนิสัย จริตนิสัยของแต่ละคนแตกต่างกันไป
ถ้าแตกต่างกันไป เราดูแลรักษาตอนนี้ ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเลย เรายังปักใจอย่างนี้ แล้วยังมีความทุกข์ความยากเก็บมาแบกหามเป็นความทุกข์ของเรา เราจะมาแบกหามเป็นความทุกข์ของเราได้อย่างไร
เราดูนะ เด็กๆ นี่สุดยอดเลย เพราะอะไร เพราะมันไร้เดียงสา ดูแลมันง่าย เดี๋ยวมันเป็นวัยรุ่นเถอะ มีหลายครอบครัวนะ เขามาเล่าให้ฟัง พ่อแม่เขามาพูดเลย เขาไปได้ยินลูกเขาสองคนปรึกษากัน “เราก็ทนๆ ไปเถอะ เดี๋ยวเราก็แยกๆ กันไปแล้ว”
แม่เขานะ พอได้ยิน แบบรักลูกมากไง แล้วมาพูดให้เราฟังบอกว่า เสียใจมาก ลูกมันไปปรึกษากันบอกว่า ก็ทนๆ ไปก่อน เดี๋ยวพอโตแล้วมีครอบครัวก็แยกๆ กันไป
มันก็เรื่องจริงน่ะ มันเป็นเรื่องจริงนะ เด็กมันคิดประสาเด็กนะว่าพอโตขึ้นมีครอบครัวก็ต้องแยกกันไปจากพ่อจากแม่ ไอ้พ่อแม่ก็เรื่องจริง ก็ต้องรับสภาพแบบนั้น แต่ก็ยังเสียใจ ยังเสียใจนะ มาปรับทุกข์นะ มาเล่าให้เราฟังว่าลูกมันคุยกัน ลูกเขาสองคนปรึกษากัน เขาแอบไปได้ยินมา แม่กับลูกนะ พอลูกมันปรึกษากัน มันสอนน้องมันว่าให้อดทน เพราะพ่อแม่ตักเตือนมันก็เครียด มันก็ธรรมดาน่ะ ทนเอา เดี๋ยวเราก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว
เขาไปได้ยินมาเขายังมาทุกข์มายากเลย ทั้งๆ ที่มันเรื่องจริงนะ แล้วพอเป็นเรื่องจริง เขาก็ยังสะเทือนใจของเขา
นี่ไง ถ้าบอกว่ามันเป็นบ่วง เป็นบ่วง บ่วงรัดคอ
ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มันเป็นประเพณีเผาศพ เวลาคนตายเขาตราสัง นี่ไง ทรัพย์สินมันบ่วงรัดเท้า คู่ครอง ลูกนี่บ่วงรัดข้อมือ บ่วงรัดคอ
เวลาเขาทำตราสังเขาทำเป็นคติธรรมให้เห็นว่าชีวิตของคนมันมีบ่วงรัดไว้ มันปลดบ่วงนั้นไม่ได้คือมันติดพันของมันไง ธรรมะสอนไว้ตลอด มันติดบ่วงของมัน
แต่เรามีครอบครัวเราก็มีบ่วงอยู่แล้ว แต่เรามีบ่วงอยู่แล้ว บ่วงของเรา เราไม่ให้รัดของเราไง มันเป็นบ่วงถ้าเราไปปักใจแล้วเราก็ยังยึดมั่นถือมั่น
แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เรามีสติปัญญาเราปลดเปลื้องของเรา เราวางของเรา พอวางของเรานะ บ่วงมันไม่มี โล่ง
มันเป็นสัจจะเป็นความจริง ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ชีวิตในการครองเรือนทุกคนก็อยากมีทายาท ทุกคนก็อยากจะมีคนสืบสกุล ถ้าคนสืบสกุลก็สืบสกุลกันต่อไป เราทำหน้าที่ของเรานะ ทำหน้าที่ของเราที่ดีงามของเรา ถ้ามันโตขึ้นมา ลูกหลานที่ดีมันก็สืบสกุลของเรา ชาติตระกูลของเรามันก็เป็นที่ยกย่องสรรเสริญของสังคม
ถ้าลูกหลานของเราทำผิดพลาดขึ้นมาก็ให้บังคับใช้ตามกฎหมาย ถ้าผิดก็คือผิด เป็นสุภาพบุรุษทำผิดแล้วยอมรับผิด ถ้าผิดแล้วทำสิ่งใด นี่พูดถึงปัญหาทางโลกไง ถ้าเป็นปัญหาทางโลก นี่ถ้ามันมีสติปัญญามันเข้ามานี่ไง มันก็ไม่เป็นบ่วง
สิ่งที่เป็นบ่วง มันเป็นบ่วงอยู่แล้ว มันเป็นบ่วงโดยบ่วงข้างนอก บ่วงข้างใน บ่วงข้างในของเรา เราวิตกกังวลไปเอง ข้างนอกไม่เป็นบ่วงหรอก ข้างนอกมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ไอ้ในใจของเรามันเป็นบ่วงรัดหัวใจเราเอง บ่วงรัดคอ พอบ่วงรัดคอนี้จะไปโทษใคร
ธรรมโอสถ ธรรมะก็มี ดูสิ บวชเรียนมา พระบวชมาต้องเรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก เรียนบาลีจบ ๙ ประโยค นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย บวชเรียนมาแล้วไม่ได้เอามาใช้สอย บวชเรียนมาก็มาทุกข์มายาก
เวลาครูบาอาจารย์ของเราเวลาประพฤติปฏิบัติ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธนะ ทำจิตใจให้เข้มแข็ง
ถ้าจิตใจเข้มแข็ง เข้มแข็งที่ไหน
เข้มแข็งที่ชนะความคิดของตน
กิเลสมันครอบงำใจของตน ถ้าชนะกิเลสของเรา จิตมันก็สงบระงับ ถ้าจิตสงบระงับเข้ามามันก็มีกำลังของมัน มันมีกำลังของมัน เวลามันใช้ปัญญาของมัน มันพิจารณาของมันนะ นี่ไง ของจริงไง
สิ่งที่เรียนมา เรียนมาเป็นทฤษฎี ชาวพุทธที่ทะเบียนบ้าน ทะเบียนบ้านมีไว้เป็นชาวพุทธแต่ไม่เคยประพฤติปฏิบัติ ไม่เคยตั้งสติ ไม่เคยทำให้จิตใจคนเข้มแข็งขึ้นมา
ถ้าใจคนเข้มแข็งขึ้นมานะ ไอ้ที่ว่า “เป็นอวิชชาๆ เพราะจิตใจยังแก้อวิชชาไม่ได้” อย่างนี้กิเลสมันหลอก
“เพราะเราแก้อวิชชาไม่ได้ เราเลยเป็นคนเช่นนี้ เพราะเรายังแก้อวิชชาไม่ได้เราเลยกินเหล้าเมายาสุขเกษมเปรมปรีดิ์ของเรา เพราะเราเป็นคนที่แก้อวิชชาไม่ได้ คนที่แก้อวิชชาได้ก็ไปอยู่นู่นน่ะ”
มันเป็นกิเลสมันมาหลอกอีกชั้นหนึ่งไง แก้อวิชชาได้หรือไม่ได้นั่นมันเรื่องหนึ่ง อวิชชาแก้ไม่ได้หรอก ถ้าแก้ได้เป็นพระอรหันต์
แต่ถ้าตอนนี้เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา ธรรมโอสถๆ ถ้าธรรมโอสถ ถ้าเราระลึกได้ เราคิดได้ จบ
เราระลึกได้ เราคิดได้ นี่ไง สติก็เป็นยาเม็ดหนึ่ง สมาธิก็เป็นยาเม็ดหนึ่ง ปัญญายิ่งเป็นปัญญาที่มหาศาล ถ้ามันมียาเม็ดหนึ่ง พอกินเข้าไปสิ่งที่พลั้งเผลอก็หยุด สิ่งที่พลั้งเผลอก็ได้สติขึ้นมา ได้สติขึ้นมาก็ไม่มาคิดเป็นห่วงเป็นใยอนาคต
สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นๆ ลูกของเราอายุมากน้อยแค่ไหนเราก็ส่งให้มีการศึกษา ก็ดูแลรับส่งๆๆ เวลามันโตขึ้นมา พอโตขึ้นมาแล้วพ่อแม่กับลูกเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนกันตรงไหน เป็นเพื่อนกันที่ปรึกษาหารือกันได้ แต่ถ้าไม่เป็นเพื่อนกันมันมีสิ่งใดมันก็ปิดเม้มปิดลับ ไม่คุยกับเรา ตอนนี้เขาไม่เชื่อพ่อแม่แล้ว เขาไปเชื่อโทรศัพท์มือถือ เพื่อนมันเยอะ ตอนนั้นไปแก้ไม่ทันหรอก
แต่ถ้าเราสมาธิเม็ดหนึ่ง เราตั้งจิตใจของเรานะ เราปรึกษาเขา เขาคุยเปิดเผยให้เราฟัง ถ้าสิ่งใดนะ มีอะไรเราก็แก้ไขได้ ถ้าถึงที่สุด ถึงที่สุดนะ
มีพ่อแม่หลายคนเคยมาคุยกับเรานะ ลูกไปโรงเรียน เดินผ่านไปที่กรรมกรก่อสร้าง เขาดีดน้ำมันใส่ทีเดียวไปเลย ลูกนะ ลูกคนหลายๆ คนที่ว่าหนีออกจากบ้านไป หนีตามไป พ่อแม่ช้ำใจมาก แล้วมันมาจากไหนน่ะ เขาดูแลอย่างดีทั้งนั้นน่ะ เวลากรรมมันให้ผลขึ้นมาเวลามันถึงเวลาของมัน ไอ้นั่นน่ะมันมีนะ หลายๆ คนมาปรึกษาเรื่องนี้เยอะ แต่มันก็เป็นกรรมของสัตว์ เป็นกรรมของสัตว์นะ
แล้วภาษาเรา เวลาปรึกษาแล้วเราก็พยายามจะให้ทุกคนปล่อยวางให้ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เกิดเพราะปัจจุบันนี้
สมัยพุทธกาล อ่านในพระไตรปิฎกสิ อ่านในพระไตรปิฎกนะ หลายๆ ครอบครัว หมอชีวกโกมารภัจจ์ เขาไปทิ้งไว้ที่ถังขยะ สิ่งที่ว่าในสมัยพุทธกาล นางปฏาจารา ลูกตาย ไม่ยอมรับว่าลูกตาย สิ่งที่เวลาไปนี่ร้อยแปด เรื่องนี้มันของเก่าแก่ มันมีอยู่แล้ว
ทีนี้ในปัจจุบันนี้มันมาเกิดกับเรา เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเกิดเป็นมนุษย์ตั้งแต่เกิดมา ตั้งแต่เกิดมาอยู่ในสังคมชุมชนใด ประเพณีวัฒนธรรมในสังคมชุมชนนั้น เราก็มีนิสัยใจคอแบบนั้น เพราะเราเคยหล่อหลอมขึ้นมาโดยสังคมวัฒนธรรมนั้น
แล้วเวลาเราโตขึ้นมาเรามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน ถ้าเรามีสติปัญญามากน้อย เราก็ทอนกลับมาแล้ว ถ้าเราเป็นชาวพุทธ ถ้าเราเป็นชาวพุทธนะ
หลวงตาท่านพูดประจำ
คนไม่มีอำนาจวาสนาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา
ถ้าพระพุทธศาสนา พ่อแม่ปู่ย่าตายายพาเข้าวัดเข้าวา พ่อแม่ปู่ย่าตายายถ้าเป็นธรรมๆ ศึกษาธรรมะแล้วเอามาดำรงชีวิตเป็นวัฒนธรรมของเรา เวลาเราเติบโตขึ้นมา เราเติบโตขึ้นมาอยู่ในวัฒนธรรมนั้น
ถ้าอยู่ในวัฒนธรรมนั้นมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน มีความสุขมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีความสุขมากน้อยแค่ไหน ถ้ามันจะศึกษา เพราะอะไร พระพุทธศาสนาไม่ให้ถือรูปเคารพใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีพระเจ้า ไม่มีผู้บงการชีวิต ไม่ถือฤกษ์ถือชัย ถ้าพระพุทธศาสนาแท้ๆ นะ
แต่ในปัจจุบันนี้พระพุทธศาสนาในเมืองไทยมันไปบวกกับพราหมณ์ไง พอบวกกับพราหมณ์ขึ้นมา พราหมณ์ก็ถือฤกษ์ถือชัย จะทำสิ่งใดก็ดูหมอดู หมอเดา
ถ้าหมอดูคนที่เขาดูให้เรา เขาทายโชคชะตาราศีของเรา ถ้าเขาทายได้ ชีวิตเขาต้องมีความสุข ชีวิตของเขา เขาต้องดำรงชีวิตของเขาได้ ไปดูสิ พวกที่ทายโชคชะตาคนอื่น ไปดูชีวิตของเขาสิ
นี่พระพุทธศาสนาไม่ให้เชื่ออย่างนั้น พระพุทธศาสนาทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว พระพุทธศาสนาสอนให้มีสติมีปัญญา นี่ไง หลวงตาท่านบอกว่า ถ้าไม่มีสติปัญญาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา
ถ้าพระพุทธศาสนาสอนนะ สอนถึงสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่มีค่า มีค่าคือหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรามีค่าขึ้นมา หัวใจเรามีค่าเพราะเรามีสติมีปัญญาของเรา เราทำสิ่งใดมันก็ย้อนกลับมา แล้วมันจะเห็นคุณค่าได้
เห็นคุณค่าได้ เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาสิ่งที่ว่าจิตนี้มันมีคุณค่าขึ้นมา ดูสิ เช่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เทวดา อินทร์ พรหมต้องมาฟังเทศน์ แล้วท่านรู้เรื่องต่างๆ เยอะมาก แต่ท่านไม่พูด มันพูดไม่ได้ไง พอพูดไปมันก็เป็นบรรทัดฐานใช่ไหม
พอเป็นบรรทัดฐาน ไอ้พวกหมอดู พวกฤๅษีชีไพรมันก็อ้างไง หลวงปู่มั่นก็ว่าอย่างนั้น หลวงปู่มั่นก็ว่าอย่างนี้ ก็เหมือนกับในสมัยปัจจุบันนี้ชาวพุทธเรา “พุทธพจน์ๆ”
มีพระมาคุยกับเรา บอกโลกจะแตก
เราบอกว่า มันขัดแย้งกับพระไตรปิฎก มันขัดแย้งกับพระไตรปิฎกเพราะพระไตรปิฎกบอกว่าโลกนี้เป็นอจินไตย โลกนี้เป็นอจินไตยนะ แล้วศาสนาอีก ๕,๐๐๐ ปี แล้วมันจะแตกเมื่อไหร่ล่ะ
แล้วบอกว่านี่เป็นพุทธพจน์
คือคนมีความคิดมีมุมมองอย่างไรก็พยายามจะจับเรื่องนี้ไปยัดใส่ปากพระพุทธเจ้าว่าเป็นพุทธพจน์ๆ แล้วพุทธพจน์มันก็ขัดแย้งในพระไตรปิฎก
นี่ก็ย้อนกลับมาความเชื่อๆ วัฒนธรรมของเรา ถ้าบอกว่า คนนั้นก็ทายอย่างนั้น คนนั้นก็ทายอย่างนั้น แล้วไอ้คนทายคืออะไร
แต่ของเราใน ๒๔ ชั่วโมง ในความเป็นอยู่ของเรา ถ้าเรามีสติมีปัญญา เรารักษาหัวใจของเรา สิ่งที่เวลาเกิดขึ้น อุบัติเหตุในโลกนี้มีเยอะแยะไป ภัยพิบัติมันก็มีของมันโดยธรรมชาติของมัน ภัยพิบัติมันเกิดขึ้นมาสิ่งใด เกิดจากสภาวะแวดล้อม
ถ้าสภาวะแวดล้อม ถ้าเรามีสติสมบูรณ์ของเรา เราก็รักษาครอบครัวของเรา รักษาชีวิตของเรา รักษาสังคมของเรา มีสิ่งใดถ้าเราเตือนกันได้ เราก็ควรเตือนกัน
นี่พูดถึงพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาไม่เชื่ออะไรเลยนะ เชื่อสัจจะความจริงที่เกิดขึ้น
บอกว่า ถ้าเป็นธรรมชาติ สภาวะแวดล้อม นี่พระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาสอนเรื่องความจริงเลย ยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์อีก เพราะวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่เราพิสูจน์ได้โดยวิทยาศาสตร์ แต่ทุกข์สุขใครพิสูจน์ได้
ทุกอย่างพร้อมนะ สิ่งรอบตัวนี้อุดมสมบูรณ์ไปหมดเลย แต่นั่งอมทุกข์ นั่งทุกข์อยู่คนเดียว แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์
สิ่งวิจิตรพิสดารในวัดวาอารามที่สร้างขึ้นมานี้คือวัฒนธรรมนะ ศาสนวัตถุ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมอยู่ ๔๕ ปี ไอ้วัดวาอาราม คือกษัตริย์ อนาถบิณฑิกเศรษฐีกุฎุมพีเป็นผู้สร้างขึ้นในสมัยพุทธกาล
แล้วพอมันเจริญงอกงามขึ้นมา เวลามันเผยแผ่ขึ้นมาในเถรวาทเรา อยู่ในประเทศใด อยู่ในชุมชนใดก็มหากษัตริย์ ชุมชนที่เขามีศรัทธาความเชื่อของเขา เขาสร้างของเขาเป็นประเพณีวัฒนธรรมมา แต่สัจจะความจริงๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นขึ้นมา ท่านไปเจอนครพนม ท่านไปเจอต่างๆ ท่านพัฒนาแล้วท่านก็ปล่อยให้โลกเขา แต่เวลาท่านเอาจริง ท่านเอาธาตุรู้ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในใจอันนี้ แล้วเวลาเข้าไปเห็นในพุทธะของเราตามความเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม
นี่ไง ที่ว่า ถ้ายังแก้อวิชชาไม่ได้ไง
อวิชชามันอยู่บนอะไร อวิชชาที่เกิดมันอยู่ที่ไหน แล้วอวิชชาตัวมันเป็นอย่างไร คนปฏิบัติบอกว่าฆ่ากิเลสๆ กิเลสเป็นอย่างไร เคยเห็นกิเลสไหม รู้จักกิเลสไหม
นี่พระพุทธศาสนาไง ในพระพุทธศาสนาไม่เอากิเลสเรา ไม่เอาความผิดพลาดของเราไปป้ายให้คนอื่น ความผิดพลาดของเรา การกระทำของเราอยู่ที่ใจเราทั้งหมด อยู่ที่ความคิดเรา อยู่ที่เจตนาของเรา อยู่ที่การกระทำของเรา เพราะเราโง่เขลา เราไม่มีสติปัญญาพอ เราก็ได้ทำความผิดพลาดนั้นไป
แต่ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมาเราก็เริ่มหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธนะ ทำความสงบของใจ ถ้าจิตเป็นสมาธิคือชนะกิเลสในใจของตนถึงเป็นสมาธิได้
คำว่า “ชนะกิเลสในใจของตน” คือกิเลสมันฟุ้งซ่าน กิเลสมันไม่มีเหตุผล มันตีโพยตีพายแล้วอ้างอิงว่าอิทธิพลครอบงำใจของตน
ทั้งๆ ที่กิเลสมันอาศัยหัวใจของมนุษย์ ภวาสวะ ภพ สถานที่อยู่ มันถึงปรากฏตัวได้ พอมันอาศัยหัวใจของคนเป็นที่อยู่แล้วมันเกิดบนหัวใจของสัตว์โลก แล้วมันก็ทำลาย มันทำลายให้เราเครียด ทำลายให้เราวิตกกังวล ทำลายให้เราไม่มีจุดยืน ทำลายให้เราไม่มีการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น
เวลากระทำก็ทำจากสัญญาอารมณ์คือกิริยาของกิเลสที่มันแสดงออก เราเลยหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ทวนกระแสกลับเข้าไปที่ใจของตน
ถ้าเราชนะกิเลส ชนะกิเลสคือเห็นใจของตน ชนะกิเลสคือสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือชนะกิเลสชั่วคราว ชนะกิเลสเรื่องสามัญสำนึกของมนุษย์นี้ พอมันชนะกิเลสเป็นสัมมาสมาธิ ชนะสามัญสำนึกของมนุษย์เป็นสัมมาสมาธิ
ปุถุชนคน กัลยาณชน ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ ชนะสามัญสำนึกของปุถุชน ชนะสามัญสำนึกของมนุษย์ มันตั้งมั่น มันไม่อาศัยสิ่งสัญญาอารมณ์สิ่งที่สัญชาตญาณของมนุษย์ใช้กัน
เป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิยกขึ้นสู่วิปัสสนา นี่สมาธิยกขึ้นสู่วิปัสสนา จิตเห็นอาการของจิต นี่มันเป็นกระบวนการการกระทำในอริยสัจ ๔ ในบุคคล ๔ คู่ ในการประพฤติปฏิบัติของพระพุทธศาสนา ในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ แนวทางสติปัฏฐาน ๔ มันอยู่ที่นี่
ไม่มีสิ่งใดเลย “นี่เป็นวิปัสสนาๆ”
ไอ้นั่นมันเป็นการท่องจำ เป็นการท่องจำเป็นกระแสโลก แต่มันเปรียบเทียบกับความมหัศจรรย์ของมนุษย์ ความมหัศจรรย์ของจิต จิตเวลาอาการมันเกิดมันก็เป็นสัญชาตญาณเท่านั้น อาการมันเกิดไง ตรรกะ มันความเข้าใจได้
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหนือโลก แต่มนุษย์เราอาศัยตรรกะตีความพระพุทธศาสนาเป็นการท่องจำ จินตนาการ แล้วก็ว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง นี่ไง มันถึงบอกว่ายกให้อวิชชาแล้วก็จะตะครุบอวิชชา แล้วก็จะเอาอวิชชามาทำลาย
“เพราะทำลายอวิชชายังไม่ได้มันเลยมีความรักในตัวบุตรที่เกิดมามากเกิน จนเกิดความห่วงใยเป็นบ่วงร้อยรัดผูกพันไว้ ปลดปล่อยได้ยาก”
เราไม่ต้องไปคิดว่าเราจะผ่าตัดให้มันเป็นเอกเทศต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องไปคิดอย่างนั้นหรอก ไอ้นั่นเป็นความคิด เป็นการจินตนาการ เราก็อยู่ในปกติวิสัยของมนุษย์นี่แหละ
พ่อแม่อยู่กับลูก อยู่กับชาติอยู่กับตระกูลของเรา แล้วทำความดีต่อกัน ถึงเวลาถ้าครอบครัวมันจะขยาย ครอบครัวจะเป็นไป มันก็เรื่องของวันเวลา แล้วถ้าถึงเวลา ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถ้าใครจะหมดชีวิตไปมันก็เรื่องธรรมดา เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตายนี้เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาของมนุษย์ที่ยังแก้ไม่ได้
แต่ถ้าในพระพุทธศาสนา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย “เราต้องเป็นเช่นนี้หรือ”
เวลาท่านมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาท่านชำระอวิชชา ท่านชำระพญามาร อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาความไม่รู้ในการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย มันรู้แจ้งแทงตลอดทั้งหมดแล้ว ต่อไปนี้จะไม่มีการเกิด ถ้าไม่มีการเกิดก็ไม่มีการแก่ ถ้าไม่มีการแก่ก็ไม่มีการตาย ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย สถานะของภวาสวะ ของธรรมธาตุ
ภวาสวะคือภพ คือกิเลส ธรรมธาตุ พอธรรมธาตุขึ้นมาแล้ว แล้วเหลืออะไร
อีก ๔๕ ปีนั้นเหลือสอุปาทิเสสนิพพาน คือเหลือสิ่งที่เกิดขึ้นจากอวิชชาที่เป็นมนุษย์ จนกว่ามนุษย์นี้หมดอายุขัยนี้ไป
ถ้าหมดอายุขัยนี้ไป ก็ไหนบอกว่าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายไง
ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย คือธรรมธาตุนั้นไม่เกิดอีกแล้ว ไม่ไปไหนอีกแล้ว มันไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายอยู่แล้ว แต่สสารสิ่งที่เหลือ สิ่งที่เหลือจากการใช้ชีวิต จากเอาชีวิตนี้มาประพฤติปฏิบัติจนรู้แจ้ง สิ่งที่เหลือนี้ต้องดับไป
สิ่งที่เหลือ เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านพูด ขันธ์ทำงานๆ
ขันธ์ทำงานคือร่างกายทำงาน ร่างกายยังขับถ่าย ร่างกายยังต้องการอาหาร ร่างกายต้องขับถ่าย แต่ไม่มีความวิตกกังวลกับร่างกายนี้เพราะธรรมธาตุไม่สนใจร่างกายนี้ ธรรมธาตุเพียงแต่ว่าเราสมบุกสมบัน
สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย พระอรหันต์แสนกัป สมบุกสมบันสร้างสมคุณงามความดีมา สมบุกสมบันสร้างผลประโยชน์มาให้จิตใจเข้มแข็ง จิตใจแก่กล้า จนจิตใจที่มีสติมีปัญญาสามารถชำระล้างกิเลสได้
ผล ผลของการกระทำนั้น ผลของบุญกุศลอันนั้นมันก็เหลือจนกว่ามันจะหมดสิ้นไปจากวัฏฏะ
นี่ไง หลวงปู่เสาร์เวลาท่านจะนิพพาน ท่านกลับไปดูพระตะบอง ท่านไปดูวัดเดิมที่ท่านบวช ไปหาอุปัชฌาย์ ลาวัฏฏะ คือพอกันแล้ว
หลวงปู่มั่นเวลาท่านให้หลวงตาพาไปถึงวัดป่าสุทธาวาส วัดป่าสุทธาวาส ไปกุฏิที่พวกโยมจากจังหวัดสกลนครสร้างไว้ให้ ไปถึงนั่นยาสลบหมดฤทธิ์ ท่านลืมตาขึ้น
เพราะกุฏิของท่านเอง ท่านอยู่ที่นั่นเอง ทำไมท่านจะจำกุฏิท่านไม่ได้ พระอรหันต์สติปัญญาขนาดไหน
พอไปถึงท่านก็ลืมตาขึ้นมอง อ๋อ! นี่กุฏิของท่าน กุฏิเดิมของท่านที่โยมชาวจังหวัดสกลนครสร้างไว้ให้ท่าน ลืมตามองว่าถึงที่ของท่านแล้ว ลาวัฏฏะ
นี่ไง ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายไง มันจะไม่มาอีกแล้ว ลาวัฏฏะแล้วจบไป นั่นน่ะคือการว่าแก้อวิชชาได้ตามความเป็นจริง
ถ้าเรายังแก้ไม่ได้ นี่เป็นสมบัติของครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติจนท่านรู้จริงเห็นจริงของท่าน แล้วชีวิตแบบอย่างท่านทำไว้ให้ชาวพุทธของเราดู
กึ่งพุทธกาลเราไม่มีสิ่งใดเป็นแบบอย่าง เราก็ยังมีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเป็นแบบอย่าง แบบอย่างจากพระไตรปิฎก แบบอย่างจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ส่งต่อกันมา ๒,๐๐๐ กว่าปี แล้วครูบาอาจารย์ของเราบุกเบิกขึ้นมาให้เป็นความจริงขึ้นมาในใจของท่าน แล้วท่านก็ใช้ชีวิตของท่านให้เราเห็นเป็นแบบอย่าง
แล้วว่าพระป่าๆๆ เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เอ็งเคยทำแบบนั้นไหม เอ็งเคยสำรวมกิริยาท่าทางของเอ็งให้เป็นพระป่าบ้างไหม เอ็งเคยสำรวมระวัง เอ็งเคยเห็นทางจงกรม เห็นที่นั่งสมาธิของเอ็งมีคุณค่าไหม เอ็งเห็นข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่เป็นธรรมๆ เห็นคุณค่ามันไหม
ถ้าเห็น นี่ไง ปฏิบัติบูชาๆ มันต้องปฏิบัติบูชา มันต้องดำรงชีพแบบนี้มันถึงจะเป็นพระป่า ไม่ใช่อยู่ที่การโฆษณาชวนเชื่อ อยู่ที่ห่มผ้า อยู่ที่หมู่คณะ ไม่ใช่ อยู่ที่การกระทำ
นี่พูดถึงว่าเขาบอกว่าเป็นบ่วงไง
คำว่า “เป็นบ่วง” เราพูด เราพูดจะบอกให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องธรรมดา เรื่องพื้นๆ แล้วเราก็ใช้ยา ยาของเราคือสติปัญญาพื้นๆ มันก็เข้าใจเรื่องชีวิตได้ เข้าใจเรื่องความรักของพ่อของแม่ มันเรื่องเล็กๆ เด็กๆ
แต่พอบอกว่าแก้อวิชชาไม่ได้
โอ้โฮ! จะแก้อวิชชาเลยหรือ แหม! จะสิ้นกิเลสเลยใช่ไหม ถ้าสิ้นกิเลสมันก็ไม่มีลูกไม่มีเต้า ไม่มีครอบครัวมาตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้ามันมีมาแล้วมันก็เรื่องธรรมดา สัตว์มันยังมีครอบครัวของมัน สัตว์มันยังรักลูกของมัน นี่เราก็รักลูกของเรา รักลูกของเราแบบมนุษย์ เป็นปัญญาชน ไม่รังแกลูกไง
บางทีเด็กมันบอก พ่อแม่รังแกเรา พ่อแม่รังแกเราไง เลี้ยงจนมันเสียไง เราเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานไม่รังแกมันโดยสมฐานะ สมฐานะของความเป็นเด็ก สมฐานะของความเป็นวัยรุ่น สมฐานะของความเป็นผู้ใหญ่ มันก็เป็นลูกเป็นหลานของเรานะ เราเลี้ยงสมตามฐานะ
เราเองต่างหากอ่อนแอ รักจนปิดหูปิดตาแล้วก็จะทำให้เด็กอ่อนแอ เด็กที่ไม่มีสติปัญญาเป็นปัญหาสังคมไปข้างหน้า
เราจะทำอะไร ถ้าเรามีสติปัญญา เราเลี้ยงดูกันโดยธรรมๆ โดยข้อเท็จจริง ให้เขาเติบโตสมตามฐานะ ให้เขามีความสุขตามฐานะของเขา แล้วเราก็พอใจ เราได้ทำหน้าที่ของความเป็นพ่อความเป็นแม่ของเราสมบูรณ์แบบ
แล้วคนที่มีสติปัญญา พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกๆ เราได้ชีวิตนี้มาจากพ่อจากแม่ แล้วเราก็เลี้ยงดูเขาให้สมตามฐานะ ให้สมอยู่กับโลกโดยที่ว่าไม่เป็นภาระใครทั้งสิ้น เอวัง